มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร


มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร

พระพุทธปรารภเรื่องเทศนาเวสสันดรชาดก

เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ - คณะบุคคล ๕ คน ที่เคยปรนนิบัติรับใช้พระองค์มาก่อน ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธัมจักกัปปวัตนสูตร อันเป็นปฐมเทศนาให้ฟัง จนกระทั่งโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าได้ดวงตาเห็นธรรม

จากนั้นพระพุทธองค์ไ้ด้เสด็จไปประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ตลอดฤดูฝนจึงเสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่สองหมื่นองค์ โดยมีพระอุทายีเถระเป็นผู้นำทาง เสด็จประทับที่นิโครธาราม พระอารามที่ประยูรญาติสร้างถวายให้ อยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์

บรรดาพระประยูรญาติต่างพากันเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แต่เมื่อไปถึง ไม่มีพระประยูรญาติสักพระองค์เดียวที่จะแสดงความเคารพถวายบังคมพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะเห็นว่าพระพุทธองค์มีพระชนมายุน้อยกว่า เป็นลูกเป็นหลานเท่านั้น จึงพากันประทับนั่งอยู่ด้านหลัง แล้วให้พระราชกุมารหนุ่มๆ ถวายบังคม

พระพุทธองค์ทรงเห็นฐิมานะของพระประยูรญาติกระด้างเช่นนั้น ก็มีพระพุทธดำริจะให้คลายความถือตนลง จึงเสด็จเข้าจตุตถฌานแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นกลางอากาศอยู่เหนือพระเศียรของพระประยูรญาติเหล่านั้น

ทันใดนั้น พระเจ้าสุทโธทนะ และพระประยูรญาติทั้งหลายก็เห็นเป็นอัศจรรย์ ไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธองค์จะมีความวิเศษถึงเพียงนี้จึงพากันพระหัตถ์ขึ้นถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงกันโดยอัตโนมัติ
พระเจ้าสุทโธทนะทรงพร่ำพรรณนาอานุภาพของพระพุทธองค์ พร้อมด้วยพระประยูรญาติเป็นเสียงเดียวกันว่า

“เมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระพี่เลี้ยงนางนมเชิญพระองค์เข้าไปนมัสการพระชฎิลดาบส พระบาททั้งคู่ดูเหมือนลอยอยู่เหนือเศียรพระดาบส”

ครั้งที่สอง ในวันวัปปมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ท้องสนามหลวง พวกพระพี่เลี้ยงได้เชิญเสร็จพระองค์ไปบรรทมเหนือพระยี่ภู่ ปูด้วยผ้าเนื้อดีในบริเวณใต้ต้นไม้หว้า เมื่อถึงเวลาบ่าย เงาไม้ได้บังกั้นพระองค์อยู่ประดุจพระทรงกลด หาได้บ่ายไปตามตะวันไม่

ครั้งที่สาม ก็คือเหตุการณ์ที่ปรากฏในวันนี้
เมื่อสมเด็จพระบรมชนก ทรงพระปราโมทย์และถวายบังคม พระประยูรญาติองค์อื่นๆ ก็พลอยทำตามกันทุกพระองค์

เมื่อสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำให้พระประยูรญาติทรงคลายความแข็งกระด้างจนหมดสิ้นทุกๆ พระองค์แล้ว ก้เสด็จเหาะลงมาจากอากาศประทับนั่งพุทธอาสน์ที่เขาจัดแจงไว้

ขณะนั้น ได้เกิดเมฆใหญ่ตั้งขึ้น ไม่นานก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษตกมาเป็นท่อธารไหลไป สีน้ำแดงใสบริสุทธิ์ ใครอยากให้เปียกก็เปียก ใครไม่อยากให้เปียกก็ไม่เปียก เหมือนน้ำตกบนใบบัว
เมื่อตกลงมาแล้วก็ไหลไปใต้พื้นแผ่นดิน

พระบรมวงศานุวงศ์ทอดพระเนตรเห็นอำนาจอันอัศจรรย์เช่นนั้นของพระพุทธองค์ ก็มีพระปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสว่า
“มหัศจรรย์นักครั้งนี้ ไม่เคยมีมาแต่ก่อนนี้เป็นเพราะอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพของพระศาสดาโดยแท้”
ตรัสดังนั้นแล้วก็น้อมพระเศียรถวายบังคมพระศาสดา แล้วก็พากันเสด็จกลับเข้าพระราชวัง

เหตุที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาเวสสันดรชาดก

ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ ๒๐,๐๐๐ องค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธองค์ก็ชื่นชมปรีดา นั่งสนทนากันว่าแต่กาลก่อนมิได้เคยเห็นเหมือนครั้งนี้
ขณะนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จพระพุทธดำเนินเข้าสู่ที่ประชุมจึงตรัสถาม เมื่อทรงทราบความแล้ว ก็ตรัสภิกษุทั้งหลายว่า
“ความอัศจรรย์แห่งห่าฝนสวรรค์โบกขรพรรษที่ตกลงในท่ามกลางพระประยูรญาตินี้ เคยมีมาแล้วในกาลก่อน"
ตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่
พระภิกษุทั้งหลายปรารถนาจะทราบเรื่องราว จึงทูลอาราธนาให้พระศาสดาเล่าเรื่อง
พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่อง พระเวสสันดรดังต่อไปนี้

อดีตนิทานของเวสสันดรชาดก

แต่ปางครั้งอดีต ยังมีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าสีวีราช เถลิงถวัลย์ราชสมบัติอยู่ในกรุงสีวี (สีพี)
พระเจ้าสีวีราช มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง พระนามว่า พระราชกุมารสญชัย

เมื่อพระราชกุมารสญชัยทรงเจริญวัยแล้ว สมเด็จพระราชบิดาก็มอบสิริราชสมบัติให้ครอบครอง แล้วได้ให้อภิเษกสมรถกับพระราชธิดาผุดี พระธิดาในพระมหากษัตริย์เมืองพันธุมดี

ในครั้งนั้น ได้มีกษัตริย์ผู้ครองเมืองขึ้นของพันธุมดีพระองค์หนึ่ง ทรงส่งดอกไม้ทองและแก่นจันทร์แดงมาถวายพระเจ้าพันธุมะ

พระเจ้าพันธุมะได้พระราชทานแก่นจันทร์แก่พระธิดาผุสดี พระราชทานดอกไม้ทองแก่พระราชธิดาน้องพระองค์น้อย

ส่วนพระธิดาทั้งสองทรงใคร่ครวญไตร่ตรองแล้วทรงเห็นว่า ควรจะนำแก่นจันทร์และดอกไม้ทองไปถวายพระพุทธเจ้า

สองพระราชธิดาจึงกราบทูลแด่พระราชบิดา พระองค์ก็ทรงพระอนุญาตอนุโมทนา พระราชธิดาผู้พี่นั้น ก็ให้บดแก่นจันทร์เป็นเครื่องลูบไล้ใส่ลงในผอบทองอันบรรจงวิจิตร ฝ่ายพระกนิษฐา ก็เอาดอกไม้ทองให้นายช่างประดิษฐ์กรอง กระทำเป็นเครื่องประดับพระอุระ แล้วพระนางโปรดให้สาวใช้หยิบยกไปสู่พระวิหาร

ฝ่ายพระราชธิดาองค์ใหญ่นั้น บูชาพระพุทธองค์ด้วยแก่นจันทร์ที่เหลือนั้นก็โปรยปรายไปรอบๆ พระคันธกุฎี พระนางได้ตั้งปณิธานว่า

“ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพระมารดา ของพระพุทธเจ้าองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล อันทรงพระญาณวิเศษปรากฏเหมือนอย่างพระองค์นี้ด้วยเถิด”

ส่วนพระกนิษฐานารีผู้น้อง ก็นำเอาดอกไม้ทองเครื่องประดับอุระบูชาสมเด็จพระศาสดา แล้วก็ตั้งปณิธานความปรารถนาในที่เฉพาะพระพักตร์พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“ขอให้บุญราศีตกแต่งสำเร็จความปรารถนา ให้ลายดอกไม้เกิดปรากฏที่หน้าอกแห่งข้าพระบาทด้วย”
พระพุทธเจ้าวิปัสสีก็ตรัสอนุโมทนาว่า

“มโนปณิธานความปรารถนาดังนี้ที่เธอทั้งสองตั้งไว้เป็นอันดีในคถาคต ขอจงให้สำเร็จมโนรถ”
ด้วยผลอานิสงส์ซึ่งได้กระทำพุทธบูชา พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ก็ทรงภิรมย์เปรมปรีดิ์ถวายนมัสการลาพระพุทธองค์ แล้วก็เสด็จกลับยังปราสาท

พระพี่น้องสองราชนารีก็เกษมศรีเสวยสมบัติสิ้นกาลช้านาน เมื่อสิ้นพระชนมานก็บังเกิดในสวรรค์
ครั้งจุติจากเทวโลกนั้น พระราชธิดาผู้พี่ก็ได้เป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามพระนางสิริมหามายาราชเทวี

ส่วนพระกนิษฐากุมารีผู้น้องนั้น ครั้งจุติจากสวรรค์ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระราชธิดาพระเจ้ากีกิสราช ในศาสดาพระพุทธกัสสปะ พระราชบุตรีกอบไปด้วยฉัพพรรณรังสีสุวรรณมาลามาศประดุจนายช่างผู้ฉลาดวาดเขียน เป็นเครื่องประดับพระอุระองค์ จึงทรงพระนามอุรัจฉทาราชกุมารี เมื่อพระชนมายุได้สิบหกปีได้ฟังเทศนาคำถวายพรหลังจากฉันภัตตาหาร พระนางก็ตรัสรู้พระอรหันต์

พระเจ้ากีกิสราช ยังมีพระราชธิดาอื่นอีก ๗ พระองค์ คือพระธิดาสมณี พระธิดาสมณโคตรตา พระธิดาภิกขุณี พระธิดาภิกขุทาสิกา พระธิดาธัมมา พระธิดาสุธัมมา พระธิดาสังฆทาสี

พระนางผุสดีเป็นพระมเหสีของพระอินทร์

พระราชธิดาสุธัมมา ครั้นสิ้นพระชนม์แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงพระนามว่า พระนางผุสดีเป็นพระอัครมเหสีของพระอินทร์ท้าวสักกเทวราช

พระอินทร์นี้ ท่านมีพระนามว่า สักกะ เป็นจอมเทพอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกกันโดยทั่วไปว่า ท้าวสักกะ ท่านมาเกิดเป็นพระอินทร์ได้เพราะเมื่อตอนเป็นมนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติตามวัตรบท ๗ ประการคือ

๑. มาตาเปติภโร เลี้ยงมารดาบิดา
๒. กุเลเชฏฺฐาปจายี เคารพผู้ใหญ่ในตระกูล
๓. สณฺหวาโจ พูดคำสุภาพอ่อนหวาน
๔. อปิสุณวาโจ หรือ เปสุเณยฺยปฺปหายี ไม่พูดส่อเสียด พูดสมานสามัคคี
๕. ทานสํวิภาครโต หรือ มจฺเฉรวินย ชอบเผื่อแผ่ให้ปัน ปราศจากความตระหนี่
๖. สจฺจวาโจ มีวาจาสัตย์
๗. อโกธโน หรือโกธาภิกู ไม่โกรธ ระงับความโกรธได้

พระนางผุสดีจะจุติจากดาวดึงส์

อยู่มาวันหนึ่ง ได้เกิดบุรพนิมิตแก่พระนาง บอกลางให้รู้ว่าจะจุติจากทิพยสถาน พระนางผุสดีไม่ทรงทราบ แต่พระอินทร์ทรงทราบ จึงชวนพระนางไปเดินเล่นในสวนนันทวัน อันดาษไปด้วยดอกไม้สีสวยระรวยรื่นหอมชื่นนาสา ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จประทับร่วมบนทิพยอาสน์
ครั้นแล้วพระอินทร์ก็ตรัสประทานพรแก่พระนางผุสดีดังนี้
“น้องหญิงผุสดี! น้องจะจากพี่ไปเกิดในมนุษย์โลกจะต้องวิโยคจากทิพยพิมานแล้ว เจ้าจงเลือกเอาพร ๑๐ ประการตามปรารถนาเถิด” พระนางขอพรพระอินทร์ ๑๐ ประการ พระนางผุสดีกราบทูลถามว่า
“กรรมอันใดจะเคลื่อนคลาดจากทิพยพิมาน เหมือนลมพายุมาพัดพานเพิกถอนหมู่ไม้ ให้กำจัดไปจากพื้นพสุธา จงทรงพระกรุณาตรัสให้ทราบแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
พระอินทร์ทรงตอบว่า
“ผุสดี อย่าหมองดุจเราทั้งสองจะต้องจากกันในครั้งนี้ เจ้าจงยินดีรับเอาพรสิบประการ”

พระนางผุสดีขอพรพระอินทร์ ๑๐ ประการ

พระนางผุสดีสดับเช่นนั้น ก็ทูลขอพร ๑๐ ประการดังต่อไปนี้
๑. ขอให้ได้ไปเกิดในปราสาทแห่งพระเจ้าสีวีราช
๒. ขอให้เนตรทั้งสองมีสีดำ ดั่งตาของลูกเนื้อทรายที่มีอายุ ๑ ปี
๓. ขอให้ขนคิ้วเขียวดูงาม ดั่งสร้อยคอนกยูง
๔. ขอให้ได้ชื่อผุสดี
๕. ขอให้มีพระชาขโอรสทรงพระเกียรติยิ่งกว่ากษัตริย์ในสากล
๖. เมื่อทรงพระครรภ์ อย่าให้ครรภ์ปรากฏนูน เช่นสตรีทั่วไป
๗. เมื่อทรงครรภ์ขออย่าให้ปทุมถันทั้งสองปรากฏเป็นสีดำ อย่าได้คล้อยเคลื่อนลดลง
๘. ขอให้เส้นเกศาสีดำขลับ ประดุจสีปีกแมลงค่อมทอง
๙. ขอให้ผิวละเอียดเป็นนวลละอองดั่งทองคำธรรมชาติ
๑๐. ขอให้มีอำนาจได้ปลดปล่อยนักโทษประหาร

พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี

ท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ได้ประทานพรดังกล่าวแก่พระนางผุสดี ด้วยพระเทวดำรัสว่า
“น้องหญิงผุสดี! พร ๑๐ ประการนี้ เราขอประทานประสิทธิ์ให้เจ้าจักสมปรารถนาในพรทั้ง ๑๐ ประการ ในแผ่นดินของพระเจ้าสีวีราช”
ครั้งพระราชทานพร ๑๐ ประการ ให้แก่พระนางผุสดีแล้ว ท้าวสักกเทวราชก็ทรงพระเกษมสำราญเบิกบานพระหฤทัย ทรงปีติปรีดาผ่องแผ้วด้วยพระทัยอนุโมทนา
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ ๑  ทศพร Reviewed by Darawan on 07:28 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.